การใช้ เกณฑ์ ต่างๆ สามารถจำแนกดอกไม้ได้หลายประเภท ดังนี้
1. ใช้ เพศ เป็น เกณฑ์ จำแนกดอกไม้ได้ 2 ประเภท ได้แก่
1.1 ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) เป็นดอกที่มีชั้นเกสร เพศ ผู้ และเกสร เพศ เมียอยู่ในดอกเดียวกัน โดยส่วนประกอบอื่นๆ อาจมีหรือไม่มีก็ได้ เช่น ดอกกล้วยไม้ ดอกบัว ดอกชบา ฯลฯ
1.2 ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) เป็นดอกที่มีชั้นเกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมียเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ส่วนประกอบอื่นๆ อาจมีหรือไม่มีก็ได้ ดอกที่มีแต่เกสรเพศผู้ เรียกว่า ดอกเพศผู้ (staminate flower) ดอกที่มีแต่เกสรเพศเมีย เรียกว่า ดอกเพศเมีย (pistillate flower) เช่น ดอกบวบ ดอกฟักทอง ดอกแตง ดอกมะพร้าว ฯลฯ
2. ใช้ส่วนประกอบต่างๆ บนฐานรองดอกเป็น เกณฑ์ จำแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่
2.1 ดอกสมบูรณ์ (complete flower) เป็นดอกที่มีครบทั้ง 4 ส่วน คือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย เช่น ดอกชบา ดอกแค ดอกกุหลาบ ฯลฯ
2.2 ดอกไม่สมบูรณ์ (incomplete flower) เป็นดอกที่มีส่วนประกอบไม่ครบทั้ง 4 ส่วน เช่น ดอกฟักทอง ดอกแตงกวา ดอกข้าวโพด ฯลฯ
3. จำแนกโดยการติดของส่วนต่างๆ บนฐานรองดอก ซึ่งจำแนกได้ 3 ประเภท ได้แก่
3.1 ดอกไฮโพจีนัส (hypogenous flower) เป็นชนิดของดอก ที่กลีบเลี้ยง กลีบดอกและเกสรเพศ ผู้ ติดอยู่บนฐานรองดอกที่ต่ำกว่ารังไข่ของเกสรเพศเมีย รังไข่แบบนี้เรียกว่า Superior-ovary ได้แก่ ดอกมะเขือ พริก มะละกอ หอม องุ่น บานบุรี ข้าวโพด ผักกาด ฯลฯ
3.2 ดอกเอพิจีนัส (epigenous flower)เป็น ชนิดของดอก ที่กลีบเลี้ยง กลีบดอก และเกสรเพศผู้ ติดอยู่บนฐานรองดอก ที่สูงกว่ารังไข่ ของเกสรเพศเมีย เนื่องจากฐานรองดอกมีขอบโค้งขึ้นไปหุ้มรังไข่ไว้หมด รังไข่แบบนี้เรียกว่า Inferior ovary ได้แก่ ดอกกล้วย แตงกวา บวบ ชมพู่ ฝรั่ง ฟักทอง กระบองเพชร แอปเปิล ฯลฯ
3.3 ดอกเพริจีนัส (perigenous flower) เป็นชนิดของดอก ที่กลีบเลี้ยง กลีบดอกและเกสรเพศผู้ ติดอยู่บนฐานรองดอกในระดับเดียวกับรังไข่ของเกสรเพศเมียเนื่องจากฐานรองดอกเว้าลงไปและมีขอบโค้งเป็นรูปถ้วยอยู่รอบรังไข่ รังไข่แบบนี้เรียกว่า Half-superior หรือ Half-inferior ovary ได้แก่ ดอกกุหลาบ ถั่วตะแบก อินทนิน เชอรี่ ฯลฯ
4. จำแนกตามจำนวนดอกที่ติดอยู่บนก้านดอก จำแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่
4.1 ดอกเดี่ยว (solitary flower) หมายถึง ดอกที่อยู่บนก้านดอกเพียงดอกเดียว ดอกอาจเกิดที่ปลายกิ่ง หรือลำต้น ตรงบริเวณซอกใบ หรือด้านข้างของกิ่ง เช่น ฟักทอง จำปี ชบา บัว การะเวก
4.2 ดอกช่อ (inflorescence flower) หมายถึง ดอกที่ประกอบด้วยดอกหลายดอกอยู่บนก้านชูดอก (peduncle)เดียวกัน (ดอกย่อยเรียกว่า floret, ก้านดอกย่อยเรียกว่า pedicle แกนกลาง ต่อจากก้านดอก ซึ่งดอกย่อยแยกออกมา เรียกว่า rachis) จำแนกเป็นชนิดย่อยได้ ดังนี้
4.2.1 raceme เป็นช่อดอก ที่มีดอกย่อยเกิดบน rachis โดยดอกแก่อยู่ล่างสุด ดอกอ่อนอยู่บน ดอกล่างสุดจะบานก่อนแล้วดอกอื่นๆ ที่อยู่ถัดขึ้นไปจะบานตามต่อมา pedicel ของดอกย่อยแต่ละดอกยาวเท่าๆ กัน เช่น ดอกหางนกยูง ผักตบชวา กล้วยไม้ พริก เป็นต้น
4.2.2 spike เป็นช่อดอกชนิดเดียวกับ raceme แต่ดอกย่อยทุกดอกไม่มี pedicel ติดอยู่บน rachis เช่น มะพร้าว สับปะรด กระถินณรงค์ เป็นต้น
4.2.3 umbel เป็นดอกช่อที่ก้านดอกย่อยยาวเท่าๆ กัน และแยกออกมาจากจุดเดียวกัน ทำให้ดอกมีลักษณะคล้ายร่ม เช่น ดอกพลับพลึง ดอกหอม ดอกกุยช่าย ว่านมหาลาภ เป็นต้น
4.2.4 head เป็นช่อดอกที่มี rachis เป็นแผ่น ตรงกลางนูนขึ้นเล็กน้อย ดอกย่อยจะติดอยู่บนส่วนที่นูนขึ้นมานี้ ดอกย่อยส่วนมากไม่มี pedicel หรือมี pedicel สั้นมาก มีวงประดับอยู่ที่ฐานของช่อดอก บางชนิดจะมีวงใบประดับที่โคนของดอกย่อยแต่ละดอกอีกด้วย เช่น ดอกทานตะวัน ดอกดาวเรือง ดอกบานชื่น ดอกบานไม่รู้โรย เป็นต้น
4.2.5 cyme เป็นช่อดอกที่ช่อหนึ่งจะมีดอกย่อยอยู่ 3ดอก โดยมี pedicel ออกมาจากปลายของ peduncle ที่จุดเดียวกัน ดอกที่อยู่ตรงกลางจะบานก่อนดอกที่อยู่รอบข้าง เช่น ดอกมะลิลา ดอกต้อยติ่ง
1. ใช้ เพศ เป็น เกณฑ์ จำแนกดอกไม้ได้ 2 ประเภท ได้แก่
1.1 ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) เป็นดอกที่มีชั้นเกสร เพศ ผู้ และเกสร เพศ เมียอยู่ในดอกเดียวกัน โดยส่วนประกอบอื่นๆ อาจมีหรือไม่มีก็ได้ เช่น ดอกกล้วยไม้ ดอกบัว ดอกชบา ฯลฯ
1.2 ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) เป็นดอกที่มีชั้นเกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมียเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ส่วนประกอบอื่นๆ อาจมีหรือไม่มีก็ได้ ดอกที่มีแต่เกสรเพศผู้ เรียกว่า ดอกเพศผู้ (staminate flower) ดอกที่มีแต่เกสรเพศเมีย เรียกว่า ดอกเพศเมีย (pistillate flower) เช่น ดอกบวบ ดอกฟักทอง ดอกแตง ดอกมะพร้าว ฯลฯ
2. ใช้ส่วนประกอบต่างๆ บนฐานรองดอกเป็น เกณฑ์ จำแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่
2.1 ดอกสมบูรณ์ (complete flower) เป็นดอกที่มีครบทั้ง 4 ส่วน คือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย เช่น ดอกชบา ดอกแค ดอกกุหลาบ ฯลฯ
2.2 ดอกไม่สมบูรณ์ (incomplete flower) เป็นดอกที่มีส่วนประกอบไม่ครบทั้ง 4 ส่วน เช่น ดอกฟักทอง ดอกแตงกวา ดอกข้าวโพด ฯลฯ
3. จำแนกโดยการติดของส่วนต่างๆ บนฐานรองดอก ซึ่งจำแนกได้ 3 ประเภท ได้แก่
3.1 ดอกไฮโพจีนัส (hypogenous flower) เป็นชนิดของดอก ที่กลีบเลี้ยง กลีบดอกและเกสรเพศ ผู้ ติดอยู่บนฐานรองดอกที่ต่ำกว่ารังไข่ของเกสรเพศเมีย รังไข่แบบนี้เรียกว่า Superior-ovary ได้แก่ ดอกมะเขือ พริก มะละกอ หอม องุ่น บานบุรี ข้าวโพด ผักกาด ฯลฯ
3.2 ดอกเอพิจีนัส (epigenous flower)เป็น ชนิดของดอก ที่กลีบเลี้ยง กลีบดอก และเกสรเพศผู้ ติดอยู่บนฐานรองดอก ที่สูงกว่ารังไข่ ของเกสรเพศเมีย เนื่องจากฐานรองดอกมีขอบโค้งขึ้นไปหุ้มรังไข่ไว้หมด รังไข่แบบนี้เรียกว่า Inferior ovary ได้แก่ ดอกกล้วย แตงกวา บวบ ชมพู่ ฝรั่ง ฟักทอง กระบองเพชร แอปเปิล ฯลฯ
3.3 ดอกเพริจีนัส (perigenous flower) เป็นชนิดของดอก ที่กลีบเลี้ยง กลีบดอกและเกสรเพศผู้ ติดอยู่บนฐานรองดอกในระดับเดียวกับรังไข่ของเกสรเพศเมียเนื่องจากฐานรองดอกเว้าลงไปและมีขอบโค้งเป็นรูปถ้วยอยู่รอบรังไข่ รังไข่แบบนี้เรียกว่า Half-superior หรือ Half-inferior ovary ได้แก่ ดอกกุหลาบ ถั่วตะแบก อินทนิน เชอรี่ ฯลฯ
4. จำแนกตามจำนวนดอกที่ติดอยู่บนก้านดอก จำแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่
4.1 ดอกเดี่ยว (solitary flower) หมายถึง ดอกที่อยู่บนก้านดอกเพียงดอกเดียว ดอกอาจเกิดที่ปลายกิ่ง หรือลำต้น ตรงบริเวณซอกใบ หรือด้านข้างของกิ่ง เช่น ฟักทอง จำปี ชบา บัว การะเวก
4.2 ดอกช่อ (inflorescence flower) หมายถึง ดอกที่ประกอบด้วยดอกหลายดอกอยู่บนก้านชูดอก (peduncle)เดียวกัน (ดอกย่อยเรียกว่า floret, ก้านดอกย่อยเรียกว่า pedicle แกนกลาง ต่อจากก้านดอก ซึ่งดอกย่อยแยกออกมา เรียกว่า rachis) จำแนกเป็นชนิดย่อยได้ ดังนี้
4.2.1 raceme เป็นช่อดอก ที่มีดอกย่อยเกิดบน rachis โดยดอกแก่อยู่ล่างสุด ดอกอ่อนอยู่บน ดอกล่างสุดจะบานก่อนแล้วดอกอื่นๆ ที่อยู่ถัดขึ้นไปจะบานตามต่อมา pedicel ของดอกย่อยแต่ละดอกยาวเท่าๆ กัน เช่น ดอกหางนกยูง ผักตบชวา กล้วยไม้ พริก เป็นต้น
4.2.2 spike เป็นช่อดอกชนิดเดียวกับ raceme แต่ดอกย่อยทุกดอกไม่มี pedicel ติดอยู่บน rachis เช่น มะพร้าว สับปะรด กระถินณรงค์ เป็นต้น
4.2.3 umbel เป็นดอกช่อที่ก้านดอกย่อยยาวเท่าๆ กัน และแยกออกมาจากจุดเดียวกัน ทำให้ดอกมีลักษณะคล้ายร่ม เช่น ดอกพลับพลึง ดอกหอม ดอกกุยช่าย ว่านมหาลาภ เป็นต้น
4.2.4 head เป็นช่อดอกที่มี rachis เป็นแผ่น ตรงกลางนูนขึ้นเล็กน้อย ดอกย่อยจะติดอยู่บนส่วนที่นูนขึ้นมานี้ ดอกย่อยส่วนมากไม่มี pedicel หรือมี pedicel สั้นมาก มีวงประดับอยู่ที่ฐานของช่อดอก บางชนิดจะมีวงใบประดับที่โคนของดอกย่อยแต่ละดอกอีกด้วย เช่น ดอกทานตะวัน ดอกดาวเรือง ดอกบานชื่น ดอกบานไม่รู้โรย เป็นต้น
4.2.5 cyme เป็นช่อดอกที่ช่อหนึ่งจะมีดอกย่อยอยู่ 3ดอก โดยมี pedicel ออกมาจากปลายของ peduncle ที่จุดเดียวกัน ดอกที่อยู่ตรงกลางจะบานก่อนดอกที่อยู่รอบข้าง เช่น ดอกมะลิลา ดอกต้อยติ่ง